การแพทย์สมัยรัชกาลที่ ๑
พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช
ได้ทรงปฏิสังขรณ์วัดโพธาราม
หรือวัดโพธิ์ขึ้นเป็นอารามหลวงให้ชื่อว่า วัดพระเชตุพนวิมลมังคลาราม และโปรดเกล้า
ให้รวบรวมและจารึกตำรายา
ท่าฤาษีดัดตน และตำราการนวดไทยไว้ตามศาลาราย มีการจัดตั้งกรมหมอโรงพระโอสถคล้ายกับในสมัยอยุธยา
ผู้ที่รับ
ราชการ เรียกว่าหมอหลวง
ส่วนหมอที่รักษาประชาชนทั่วไป เรียกว่าหมอราษฎร หรือหมอเชลยศักดิ์
การแพทย์สมัยรัชกาลที่
๒
พระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัยได้โปรดเกล้าฯ
ให้เหล่าผู้ชำนาญลักษณะโรคและสรรพคุณยา
รวมทั้งผู้ที่มีตำรายาดี ๆ นำเข้ามาทูลเกล้าฯ ถวายและให้กรมหมอหลวงคัดเลือกและจดเป็นตำราหลวงสำหรับโรงพระโอสถ
พ.ศ. ๒๓๙๕ โปรดเกล้าฯ ให้ตรากฎหมายชื่อว่า กฎหมายพนักงานพระโอสถถวาย
การแพทย์สมัยรัชกาลที่
๓
พระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว
ทรงปฏิสังขรณ์วัดพระเชตุพนฯ อีกครั้งและโปรดเกล้าฯ ให้จารึกตำรายาบอกสมุฏฐานของโรคและวิธีรักษาได้บนแผ่นหินอ่อน
ประดับตามผนังโบสถ์และศาลาราย
และทรงให้ปลูกต้นสมุนไพรที่หายากได้ในวัดเป็นจำนวนมาก
นับเป็นการจัดการศึกษาให้แก่ประชาชนอีกรูปแบบหนึ่ง ซึ่งมิได้จำกัดอยู่เพียงในวงศ์ตระกูลเหมือนแต่ก่อน
นอกจากนี้ยังทรงปฏิสังขรณ์วัดราชโอรสาวราราม
และได้จารึกตำราไว้ในแผ่นศิลาตามเสาระเบียงพระวิหาร
รัชสมัยนี้มีการนำการแพทย์แบบตะวันตกเข้ามาเผยแพร่โดยคณะมิชชันนารีชาวอเมริกัน
โดยการนำของนายแพทย์แดน บีช บรัดเลย์
ซึ่งคนไทยเรียกว่า หมอบรัดเลย์
ซึ่งนำวิธีการแพทย์แบบตะวันตกมาใช้
เช่น การปลูกฝีป้องกันไข้ทรพิษ การใช้ยาเม็ดควินินรักษาโรคไข้จับสั่น เป็นต้น นับเป็นวิวัฒนาการการแพทย์แผนไทยและ
แผนตะวันตก
การแพทย์สมัยรัชกาลที่
๔
พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว
ได้นำการแพทย์แผนตะวันตกมาใช้มากขึ้นเช่น การสูติกรรมสมัยใหม่ แต่ไม่สามารถเปลี่ยนความนิยมของชาวไทยได้ เพราะการแพทย์แผนไทยเป็นวิถีชีวิตของคนไทย
เป็นจารีตประเพณีและวัฒนธรรมที่สืบเนื่องกันมา
การแพทย์แผนไทยสมัยรัชกาลที่
๕
รัชสมัยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว
มีการจัดตั้ง ศิริราชพยาบาลขึ้นในปี พ.ศ. ๒๔๓๑
ซึ่งมีการเรียนการสอนและให้การรักษาทั้งการแพทย์แผนไทย และแผนตะวันตกร่วมกัน
มีการพิมพ์ตำราแพทย์ขึ้นเป็นครั้งแรกในปี
พ.ศ.๒๔๓๘ ชื่อ ตำราแพทย์ศาสตร์สงเคราะห์
เล่ม ๑-๔ ซึ่งได้รับยกย่องให้เป็นตำราแห่งชาติฉบับแรก
ต่อมาพระยาพิษณุประสามเวช (หมอคง) เห็นว่าตำราเหล่านี้ยากแก่ผู้ศึกษา
จึงพิมพ์ตำราขึ้นใหม่ได้แก่
ตำราแพทย์ศาสตร์สงเคราะห์ฉบับหลวง ๒ เล่ม และตำราแพทย์ศาสตร์สังเขป ๓ เล่ม ซึ่งกระทรวงสาธารณสุขยังคงใช้มาจนทุกวันนี้
การแพทย์แผนไทยสมัยรัชกาลที่ ๖
รัชสมัยพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัวมีการสั่งยกเลิกวิชาการแพทย์แผนไทย
และมีประกาศให้ใช้ พระราชบัญญัติการแพทย์เพื่อควบคุมการประกอบโรคศิลปะเพื่อป้องกันอันตรายอันเนื่องมาจากการประกอบการของผู้ที่ไม่มีความรู้และมิได้ฝึกหัดด้วยความไม่พร้อมในด้านการเรียนการสอน
การสอบและการประชาสัมพันธ์ ทำให้หมอพื้นบ้านจำนวนมากกลัวถูกจับจึงเลิกประกอบอาชีพนี้
บ้างก็เผาตำราทิ้ง
จะมีหมอแผนโบราณเพียงจำนวนหนึ่งเท่านั้น ที่สามารถปฏิบัติได้ตามพระราชบัญญัติดังกล่าวนับเป็นทั้งข้อดีและข้อเสียที่ควรคำนึงถึง
การแพทย์แผนไทยสมัยรัชกาลที่ ๗
กฎหมายเสนาบดี
ได้แบ่งการประกอบโรคศิลปะออกเป็นแผนปัจจุบันและแผนโบราณ
มีการศึกษาวิจัยสมุนไพรขึ้นในระหว่างปี พ.ศ.๒๔๘๕-๒๔๘๖ ขณะที่สงคราม
โลกครั้งที่
๒ ลุกลามเข้ามาในเขตเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ทำให้เกิดภาวะขาดแคลนยา ศาสตราจารย์ นพ. อวย เกตุสิงห์ ให้ศึกษาวิจัยสมุนไพร
ที่ใช้รักษาไข้มาลาเรียที่
โรงพยาบาลสัตหีบ
หลังจากสงครามโลกสงบลง ยังคงมีปัญหาขาดแคลนยาแผนปัจจุบัน รัฐบาลจึงมีนโยบายให้องค์การเภสัชกรรมกระทรวงสาธารณสุข
ผลิตยาสมุนไพรเป็นยารักษาโรค
องค์กรเอกชนด้านการแพทย์แผนไทย
ปี พ.ศ.
๒๕๐๐ มีการก่อตั้งสมาคมโรงเรียนแพทย์แผนโบราณขึ้น ที่วัดโพธิ์
กรุงเทพฯ
นับแต่นั้นมาสมาคมต่าง ๆ ก็ได้แตกสาขาออกไป
ปัจจุบันมีโรงเรียนแพทย์แผนโบราณที่มีการดำเนินงานอย่างต่อเนื่องอยู่เป็นจำนวนมากทั้งในกรุงเทพฯและต่างจังหวัด
ปี พ.ศ. ๒๕๒๖
ศาสตราจารย์ นพ. อวย เกตุสิงห์ แพทย์แผนปัจจุบันผู้ซึ่งเข้าใจเกี่ยวกับสถานการณ์ของการแพทย์แผนไทยเป็นอย่างดี
ได้ก่อตั้งมูลนิธิฟื้นฟูการแพทย์ไทยเดิมขึ้น ทำให้เกิดอายุรเวทวิทยาลัย (ชีวกโกมารภัจจ์) ผลิตแพทย์แผนโบราณแบบประยุกต์
หลักสูตร ๓ ปี ในโอกาสต่อมา นับได้ว่าศาสตราจารย์ นพ. อวย
เกตุสิงห์ เป็นบิดาของการแพทย์แผนไทยแบบประยุกต์ที่เปิดโอกาสให้แพทย์ไทยฟื้นตัวอีกครั้ง
No comments:
Post a Comment